SEO vs SEM ความแตกต่างของการทำ Search Marketing บน Google

SEO vs SEM ความแตกต่างของการทำ Search Marketing บน Google

Update

ในยุคดิจิทัลที่ Digital Marketing คือหัวใจหลักในการสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจ ความเข้าใจและการเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้นั่นก็คือการทำ Search Marketing บน Google โดยการทำ Search Marketing จะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ การทำ SEO (การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับใน Google) และ SEM (การซื้อโฆษณา หรือ Paid Ads บน Google) วันนี้เราจึงจะมาดูกันว่า SEO vs SEM นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร และธุรกิจของคุณควรเลือกทำ SEO หรือ SEM เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ก่อนจะไปดูความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจหลักการของการทำ Search Marketing ทั้งสองแบบก่อน หากเราไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานของ SEO และ SEM เราอาจไม่สามารถเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของเราได้ การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้จะช่วยให้เราสามารถใช้ทั้งสองกลยุทธ์นี้ในการเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

SEO คืออะไร?

SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับในเครื่องมือค้นหา (Search Engines) ผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาแบบออร์แกนิก โดยมีขั้นตอนหลัก 4 ขั้นตอนคือ

  • Keyword Research – การค้นหา Keywords (คำสำคัญ) ที่ผู้คนกำลังค้นหาหรือมักจะค้นหาอยู่เป็นประจำ
  • On-page SEO – ปรับเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์
  • Off-page SEO – ใช้เว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีคุณภาพช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • Technical SEO – ใช้เทคนิคอื่น ๆ เช่น การส่ง Sitemap ไปยัง Search Engines

การทำ Keyword Research

การทำ Keyword Research คือการทำความเข้าใจคำ Keyword ที่ลูกค้าของคุณพิมพ์ลงใน Search Engines เพื่อค้นหาธุรกิจของคุณ โดยสามารถดูแนวโน้มจำนวนการค้นหา Keyword ได้จาก Google Keywords Planner ใน Google Ads หรือในโปรแกรมที่เอาไว้ทำ Search Marketing อย่าง Ahrefs และ Semrush

ตัวอย่างของการดูแนวโน้มการค้นหา Keyword บน Ahrefs

ตัวอย่างของการดูแนวโน้มการค้นหา Keyword บน Ahrefs

การทำ On-page SEO

การทำ On-page SEO คือการสร้างหน้าเว็บไซต์หรือบทความที่มีเนื้อหาตรงกับสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการพบเห็น วิธีการนี้ขึ้นอยู่กับ Keyword ที่คุณต้องการที่จะทำ

ยกตัวอย่างเช่น Keyword คำว่า “Digital Agency” ผู้ค้นหาก็ต้องการเห็นเว็บไซต์ที่เป็น บริษัท ดิจิทัล เอเจนซี่ ขึ้นมาอยู่บนหน้า Search Engines เมื่อเรารู้แล้วว่าคำคำนี้มีผู้ค้นหาเป็นจำนวนมาก เราก็จะต้องปรับเนื้อหาและข้อมูลภายในหน้าให้มีความสอดคล้องกันมากขึ้น เช่น มีคำว่า Digital Agency อยู่หลายจุด, มีเนื้อหาที่อธิบายว่า Digital Agency ของคุณทำอะไรเป็นต้น

นอกจากการทำ Keyword และ เนื้อหาให้ดีและดึงดูดแล้วยังมีหลายเรื่องที่ต้องทำเพื่อให้การทำ On-Page SEO มีคุณภาพมากขึ้น เช่น การสร้างหัวข้อที่น่าสนใจ, การใช้ URL ที่กระชับและสื่อความหมายได้ดี, การปรับแต่งภาพให้เหมาะสมขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป

การทำ Off-page SEO

การทำ Off-page SEO คือ ทำ SEO นอกเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ โดยทำได้ง่าย ๆ โดยการสร้าง Backlinks ที่มีคุณภาพ เพราะ Backlinks เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีบน Google และ Search Engines อื่น ๆ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบทความนี้เนื้อหามีคุณภาพก็อาจจะได้รับ Backlinks จากเว็บไซต์ที่เอาเนื้อหาไปอ้างอิงแล้วให้เครดิตโดยการใส่ URL ของเว็บไซต์เรากลับมา

การทำ Technical SEO

การทำ Technical SEO คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องมือค้นหาสามารถค้นหา รวบรวมข้อมูล และจัดทำดัชนีเนื้อหาของเว็บไซต์คุณได้ ถ้าเครื่องมือค้นหาไม่สามารถทำทั้ง 3 อย่างนี้ได้ โอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับก็มีน้อยมาก

ยกตัวอย่างเช่น การส่ง Sitemap ของเว็บไซต์ไปที่ Google Search Console เพื่อให้ Bot ของ Google วิ่งเข้ามาเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ไปประมวลผล Bot ของ Google จะเข้ามาเก็บข้อมูลของเว็บไซต์เป็นประจำเพื่อตรวจสอบว่าเรามีหน้าเว็บไซต์เพิ่มขึ้นหรือไม่

ตัวอย่างของการทำ SEO เว็บไซต์ katudermatology.com

โปรเจคออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ ที่เราได้ทำให้กับ คลินิกผิวหนังกะทู้ เราทำครบทุก 4 ขั้นตอนและทำอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน Keyword ที่มีคนค้นหาเยอะที่สุดอย่างคำว่า คลินิกผิวหนังภูเก็ต สามารถยึดอันดับ 1 – 5 ได้มาตลอดตั้งแต่เว็บไซต์ได้มีการออนไลน์

SEM คืออะไร?

SEM คือการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ซึ่งสามารถทำได้โดยการลงโฆษณาแบบเสียเงิน การใช้จ่ายค่าโฆษณานี้เรียกว่า การจ่ายเงินต่อคลิก (PPC) โดยเป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านการแสดงผลเว็บไซต์ในอันดับสูง ๆ ที่น่าสนใจ นอกจากนี้ SEM ยังสามารถรวมการทำ SEO เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากผลการค้นหาแบบออร์แกนิกได้อีกด้วย ซึ่งถ้ามองการทำ Search Marketing แบบวงกว้าง ทั้ง SEO และ PPC จะเป็นรูปแบบหนึ่งของ SEM

ควรทำ SEM ตอนไหน?

ในแง่ของธุรกิจหากคุณจะต้องการเพิ่มจำนวนลูกค้าหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ทันที SEM ควรทำเมื่อเว็บไซต์เสร็จและมีการทำ On-Page SEO ที่มีคุณภาพแล้ว เพราะจะได้ผลในระยายาวในส่วนของ SEO ด้วย การทำ SEM เราสามารถวัดผลได้ทันทีเช่น ถ้าคุณทำธุรกิจเกี่ยวกับบริการให้ลองวัดจากจำนวน Lead Generation หรือ Conversion Rate ต่อในโฆษณาของคุณในแต่ละเดือน

ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ Grappik มีการลงโฆษณาบน Google เดือนละ xx,xxx บาท ในกรณีถ้าทีคนกดคลิกที่โฆษณาและส่ง Lead Generation มาให้ติดต่อกลับ หากเปลี่ยน Lead เป็นลูกค้าได้ ให้ลองคำนวณดูว่าควรเพิ่มงบโฆษณาดีหรือไม่เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้มาซึ่งยอดขาย

SEO vs SEM ทำทั้ง 2 อย่างจะได้ ผลลัพธ์ ที่ดีมาก

ระยะเวลาการทำ SEM ควรอยู่ที่เท่าไหร่?

ก่อนที่จะไปดูที่ระยะเวลาในการทำ SEM เราควรย้อนกลับมาดูก่อนว่าใน Search Engines หรือ Google มีคู่แข่งในผลการค้นหาหน้าแรกกี่บริษัทและระดับความเข้มข้นของการแข่งขันใน Keyword นั้นสูงแค่ไหน หากเราวิเคราะห์แล้วพบว่าการแข่งขันสูงมากจนแม้แต่การทำ SEO ระดับสูงยังไม่สามารถทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับได้ การทำ SEM อย่างต่อเนื่องและการวัดผล ROI (Return on Investment) จะช่วยให้เราทราบว่าการลงทุนในการทำ SEM นั้นคุ้มค่าหรือไม่ หากการทำ SEM ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า การลงทุนใน SEM ต่อไปในขณะที่คุณยังดำเนินธุรกิจอยู่จะเป็นข้อดี

การทำ SEM ช่วยให้ SEO ดีขึ้น?

หากเว็บไซต์ของคุณไม่มีผู้เข้าชมหรือมีจำนวนน้อย คะแนนของเว็บไซต์อาจไม่เพิ่มขึ้นทำให้อันดับคงที่ แต่หากคุณลงทุนใน SEM เช่น Google Ads (PPC) เพื่อเพิ่มการเข้าชมผ่านการโฆษณา คะแนนของเว็บไซต์จะเพิ่มขึ้นและส่งผลให้ SEO ดีขึ้นด้วย โดยปกติแล้ว เว็บไซต์จะเริ่มติดอันดับในผลการค้นหาประมาณ 60 วันขึ้นไป แต่ถ้าคุณทำ SEM ก่อน อาจทำให้ติดอันดับได้เร็วกว่านั้น

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Keyword นี้มีการแข่งขันที่สูง?

Keyword ที่เรานึกถึงเป็นสิ่งแรกเมื่อต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง มักเป็น Keyword ที่คนอื่น ๆ ก็ค้นหาเช่นกัน ซึ่งหมายความว่ามีคนค้นหาจำนวนมาก = มีความต้องการสินค้าหรือบริการนั้นสูง = มีธุรกิจจำนวนมากที่แข่งขันกันด้วยคีย์เวิร์ดนี้บน Search Engines

แต่ถ้าเรายังไม่มั่นใจลองใช้ Search Marketing Tools เจ้าดังๆช่วยดูแนวโนมได้ ยกตัวอย่าง Ahrefs ที่ทีม Grappik ใช้ ให้สังเกตที่ Keyword Difficulty จะมีคะแนนบอกว่า Keyword อยู่ในความยากระดับไหน และ ดูจำนวน Search Volume ว่ามีการค้นหาต่อเดือนประมาณเท่าไหร่ ยิ่งมีการค้นหาเยอะแสดงว่าการแข่งขันสูงแน่นอน

SEO vs SEM ความเหมือนที่แตกต่าง

ความเหมือนกันของ SEO และ SEM

ความเหมือนกันของ SEO และ SEM คือทั้งสองมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงเว็บไซต์ผ่าน Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ทั้ง SEO และ SEM ใช้หลักการเดียวกัน คือเมื่อผู้ใช้งานทำการค้นหาคำหรือประโยคต่าง ๆ บน Google เว็บไซต์ของเราจะต้องปรากฏในอันดับที่ดีของผลลัพธ์การค้นหาเพื่อดึงดูดผู้เข้าชม

ความแตกต่างของ SEO และ SEM

ความแตกต่างระหว่างการทำ SEO และ SEM คือ การทำ SEO มุ่งเน้นที่การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับใน Search Engines โดยใช้หลากหลายเทคนิค เช่น การสร้าง Backlink, การเขียนบทความคุณภาพ, และการกำหนด Meta Tags ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา ในขณะที่ SEM ก็มีเป้าหมายให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Search Engines เช่นกัน แต่จะเน้นไปที่การซื้อโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเช่น Google Ads ซึ่งทำให้เว็บไซต์สามารถปรากฏในตำแหน่งที่โดดเด่นได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ SEM ยังครอบคลุมถึงการจัดการแคมเปญโฆษณา, การใช้ Pay-Per-Click (PPC), และการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโฆษณาเพื่อเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ

Pay-Per-Click (PPC) คืออะไร

จากที่ได้พูดถึง PPC ในเรื่อง ความแตกต่างของ SEO และ SEM เราจะมาขยายความให้เข้าใจมาดขึ้น PPC ความหมายคือ การจ่ายเงินต่อคลิก เป็นรูปแบบการโฆษณาที่คุณจ่ายเงินเมื่อมีการคลิกที่เว็บไซต์ของคุณจาก Search Engines

สรุปง่าย ๆ PPC หมายถึงการจ่ายเงินสำหรับคลิกจาก Search Engines เช่น Google, Bing, หรือ Yahoo โดยทั่วไป PPC ช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในตำแหน่งที่โดดเด่นบนหน้าผลลัพธ์การค้นหา (SERP) ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นการเพิ่มโอกาสในการดึงดูด Traffic มายังเว็บไซต์ของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

การทำ Search Marketing บน Google สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักคือ SEO (การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับใน Google) และ SEM (การซื้อโฆษณาบน Google เช่น PPC) โดย SEO มุ่งเน้นที่การเพิ่มการมองเห็นแบบออร์แกนิกผ่านการปรับปรุงเนื้อหาและการสร้าง Backlink ส่วน SEM ใช้การโฆษณาแบบเสียเงินเพื่อดึงดูด Traffic ทันที ทั้ง 2 แบบมีเป้าหมายเดียวกันคือเพิ่มการเข้าถึงและการมองเห็นของเว็บไซต์ แต่ใช้วิธีการที่ต่างกัน ธุรกิจควรเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การทำ SEM ช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์และสามารถสนับสนุน SEO ให้ดีขึ้นได้โดยการเพิ่มคะแนนของเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

Written by Inthanon Panyasopa
Data Source ahrefs.com