10 เคล็ดลับหา Agency ทำเว็บไซต์ที่จะพาธุรกิจคุณเติบโต

10 เคล็ดลับหา Agency ทำเว็บไซต์ที่จะพาธุรกิจคุณเติบโต

Update

การหา Digital Agency ทำเว็บไซต์ให้กับธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด การตัดสินใจที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยให้ได้รับเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ธุรกิจ แต่ยังช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณอีกด้วย เพราะค่าใช้จ่ายในการจ้างค่อนข้างสูงและระยะเวลาในการออกแบบและพัฒนาที่ใช้เวลาหลายเดือน การเลือก Agency ที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

Agency ทำเว็บไซต์ แตกต่างกับ Digital Agency ยังไง?

Agency ทำเว็บไซต์: มุ่งเน้นที่การสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงการออกแบบ UX/UI ที่ดี การปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ในแง่ความเร็ว ความปลอดภัย และความเสถียร รวมถึงการดูแลเว็บไซต์ในช่วงหลังการออนไลน์

Digital Agency: มุ่งเน้นไปที่การตลาดดิจิทัล เช่น การวางแผนโฆษณาออนไลน์ สร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และกลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ ซึ่งอาจไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์เท่ากับ Agency เฉพาะด้านเว็บไซต์

Agency ทำเว็บไซต์ แตกต่างกับ Digital Agency ยังไง?

10 เคล็ดลับหา Agency ทำเว็บไซต์ให้ธุรกิจเติบโต

เมื่อเราเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Agency ทำเว็บไซต์ และ Digital Agency แล้ว เราจะมาดูว่าการเลือก Agency ทำเว็บไซต์ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง

1. ดูจากความเชี่ยวชาญ

การพิจารณาความเชี่ยวชาญของ Agency นั้น ไม่ได้มองแค่ผลงานเท่านั้น แต่ควรดูถึงระดับความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ด้วย คุณสามารถประเมินได้จากการอ่าน Blog หรือ Case Studies ของ Agency เพื่อตรวจสอบขั้นตอนการทำงาน ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการนำเว็บไซต์ออนไลน์ ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงวิธีคิดและกระบวนการทำงานที่ทำให้โปรเจคประสบความสำเร็จ

ที่ Grappik Agency เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้และเพิ่มทักษะให้ทีมงานอย่างต่อเนื่อง เรามีการอัปเดตเนื้อหาใน Blog เป็นประจำ พร้อมนำเสนอ Case Studies ให้ลูกค้าหรือผู้สนใจได้ศึกษา เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการทำงานของเราและดูขั้นตอนที่นำไปสู่ความสำเร็จในโปรเจคต่าง ๆ

2. ประเมินความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและการออกแบบ

ในข้อที่ 1 การพิจารณาความเชี่ยวชาญ ข้อนี้จะเจาะลึกไปที่ทักษะเฉพาะด้านของ Agency ดูว่า Agency นั้นมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่ต้องการหรือไม่ เช่น ระบบ CMS ที่เลือกใช้ หรือฟังก์ชันพิเศษที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์ นอกจากนี้ควรตรวจสอบว่าการออกแบบเว็บไซต์สามารถตอบสนองต่อทุกอุปกรณ์ได้ (Responsive Design) และมีการปรับแต่งที่เหมาะสมสำหรับ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดี

3. สไตล์การออกแบบต้องคลิกกัน

การออกแบบเว็บไซต์ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น เพราะ UX/UI Design มีบทบาทสำคัญในการทำให้เว็บไซต์ตอบโจทย์ธุรกิจและเปลี่ยนผู้ชม (User) ให้กลายเป็นลูกค้า (Customer) ได้ การพิจารณางานออกแบบควรดูจากหน้าผลงาน (Portfolio) ของแต่ละ Agency ซึ่งสามารถนำสไตล์ที่ใกล้เคียงกับที่ต้องการมาเป็น Benchmark ได้ วิธีนี้จะช่วยให้สามารถเลือก Agency ที่มีทิศทางการออกแบบตรงกับเป้าหมายธุรกิจได้แม่นยำขึ้น

4. งบประมาณต้องเหมาะสม

ทุกโปรเจคไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ ล้วนมีงบประมาณตั้งต้นที่ต้องพิจารณา การกำหนดงบประมาณล่วงหน้าหรือสอบถามราคาเบื้องต้นจาก Agency จะช่วยให้สามารถคัดเลือก Agency ที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น แม้ว่าเรื่องงบประมาณอาจเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ควรพิจารณาความคุ้มค่าจากบริการที่จะได้รับด้วย การเลือก Agency ที่เสนอราคาที่เหมาะสมและบริการที่ครบถ้วนจะช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุนทำเว็บไซต์ได้แน่นอน

เทคนิคที่ช่วยให้ Agency เสนอราคาได้ง่ายขึ้นสำหรับโปรเจคเว็บไซต์ของคุณคือ

  1. เตรียม Sitemap คร่าวๆ เพื่อแสดงว่าต้องการให้เว็บไซต์มีหน้าอะไรบ้าง
  2. ลิสต์ ฟีเจอร์ หรือระบบที่ต้องการ เช่น ระบบเว็บ 2 ภาษา หรือระบบค้นหาเอกสาร
  3. ระบุ CMS ที่ต้องการใช้ หรือภาษาในการพัฒนาที่คุณต้องการให้ช่วยพัฒนา (CMS ที่เว็บทั่วโลกนิยมใช้มากกว่า 45% คือ WordPress)
  4. แนบ ตัวอย่างเว็บไซต์ ที่คุณชอบหรืออ้างอิงสไตล์ดีไซน์ที่คุณต้องการ เพื่อให้ Agency เข้าใจทิศทางการออกแบบ
  5. กำหนด ไทม์ไลน์ หรือกรอบเวลาในการทำโปรเจคอย่างชัดเจน เพื่อให้ Agency วางแผนงานและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม

5. ความน่าเชื่อถือของ Agency

ผลงานที่ผ่านมา, ลูกค้าที่เคยร่วมงาน หรือ วิสัยทัศน์ของ Agency เป็นเกณฑ์สำคัญที่ควรใช้ในการเลือก Agency เข้าสู่รายชื่อ Finalist เพื่อทำการ Pitching เพราะสิ่งที่กล่าวมาหมายถึงการรับรองความสามารถและผลงานในอดีต เช่น การทำงานกับบริษัทต่าง ๆ และความเหมาะสมกับเป้าหมายและงบประมาณของคุณ สิ่งเหล่านี้ช่วยประเมินความน่าเชื่อถือและความสามารถในการทำงานของ Agency ได้อย่างชัดเจน

6. จุดแข็งของ Agency

ทุก Agency ไม่ว่าจะเป็น Agency ทำเว็บไซต์หรือ Digital Agency ย่อมมีจุดแข็งและจุดอ่อนแตกต่างกัน ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านไม่เหมือนกัน คุณควรพิจารณาจากผลงานและแนวทางการทำงานของ Agency ว่าเชี่ยวชาญในด้านใด เช่น บาง Agency ถนัดใช้เทคโนโลยี Low Code/No Code บางแห่งถนัดการเขียนโค้ดตั้งแต่ต้น ส่วน Grappik Agency ก็มีความเชี่ยวชาญในการใช้ WordPress CMS เป็นหลัก การเลือก Agency ที่มีความเชี่ยวชาญตรงกับความต้องการของธุรกิจจะช่วยให้การทำงานราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Grappik เราคือ Agency ทำเว็บไซต์ที่เชี่ยวชาญในการใช้ WordPress CMS

7. Workflow รูปแบบการทำงานของ Agency

Workflow ก็เป็นส่วนสำคัญในการเลือก Agency มาทำเว็บไซต์ให้กับธุรกิจ เพราะบาง Agency อาจข้ามขั้นตอนการวางกลยุทธ์และเริ่มต้นที่การออกแบบหรือพัฒนาระบบทันที ซึ่งถึงแม้จะไม่ผิด แต่การทำเช่นนี้อาจทำให้เว็บไซต์ที่ได้ไม่ตอบโจทย์ธุรกิจอย่างแท้จริง การวางกลยุทธ์เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจ กำหนดทิศทางที่ชัดเจน และปรับการออกแบบให้สอดคล้องกับการใช้งานจริงของผู้ใช้ ซึ่งทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการดึงดูดและสร้างลูกค้า

Workflow การทำเว็บไซต์ที่จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์

  • วิเคราะห์และวางกลยุทธ์: ศึกษาธุรกิจ, กลุ่มเป้าหมาย, และกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับเว็บไซต์
  • ออกแบบ UX/UI: สร้างโครงสร้างและการออกแบบที่ตอบโจทย์ประสบการณ์ผู้ใช้
  • พัฒนาเว็บไซต์: พัฒนระบบเว็บไซต์จาก Tech Stack ที่ได้กำหนดไว้
  • ทดสอบและปรับปรุง: ตรวจสอบการทำงานของเว็บไซต์และแก้ไขข้อบกพร่องหลังจากพัฒนาเสร็จสิ้น
  • ออนไลน์และดูแลต่อเนื่อง: เปิดใช้งานเว็บไซต์และให้บริการดูแลหลังการเปิดตัว
  • ทำการตลาดออนไลน์: เช่น การทำ SEO, Google Ads, Content Marketing และ Social Media Marketing เพื่อดึงดูดผู้ชม (User) และเปลี่ยนให้กลายเป็นลูกค้า (Customer)

8. Payment การชำระค่าบริการ

การทำเว็บไซต์คือการจ้างงานแบบทั้งก้อน (งานออกแบบไปจนถึงงานพัฒนาระบบ) ซึ่งเว็บไซต์ก็เหมือนบ้านของธุรกิจบนโลกออนไลน์ หากสร้างล่าช้าหรือไม่เสร็จตามกำหนด อาจทำให้เกิดปัญหามากมาย การแบ่งชำระค่าบริการเป็นงวดๆ จะช่วยให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น และหากเกิดปัญหาก็สามารถเปลี่ยน Agency หรือหยุดโปรเจคได้ทัน ขณะเดียวกัน ฝั่ง Agency ก็ต้องการ Payment Term ที่ชัดเจนเพื่อวางแผนค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม การตกลงเงื่อนไขการชำระเงินตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหาในอนาคต

เทคนิคการกำหนด Payment Term สำหรับโปรเจคเว็บไซต์ที่เหมาะสมสามารถแบ่งได้เป็น 4 งวดคือ

  • เริ่มโปรเจค: ชำระ 30% เมื่อมีการเริ่มงานอย่างเป็นทางการ
  • ออกแบบ UX/UI เสร็จสิ้น: ชำระอีก 30% หลังจากการออกแบบ UX/UI ได้รับการอนุมัติ
  • พัฒนาระบบเสร็จสิ้น: ชำระเพิ่มอีก 20% เมื่อระบบถูกพัฒนาและทดสอบเรียบร้อย
  • เว็บไซต์ออนไลน์: ชำระส่วนที่เหลือ 20% หลังจากเว็บไซต์ออนไลน์และเปิดใช้งานได้อย่างสมบูรณ์

9. การรับประกัน และ การทำ SLA (Service Level Agreement)

ทำเว็บแล้ว Agency ต้องไม่หนีหาย การรู้ถึง นโยบายการรับประกัน หรือ SLA (Service Level Agreement) ของ Agency เป็นเรื่องสำคัญมาก หากเว็บไซต์มีปัญหาหรือล่มจนไม่สามารถใช้งานได้ Agency ควรรับผิดชอบในการแก้ไขให้เว็บไซต์กลับมาออนไลน์ให้เร็วที่สุดตามเงื่อนไขในนโยบายที่กำหนดไว้ การมีสัญญาและนโยบายที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกค้ามั่นใจว่าได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและไม่ประสบปัญหาการหยุดชะงักของบริการ

10. การคลิกกันของ Agency และลูกค้า

“จ้าง Agency มาฟัง Agency บ้าง” นี่คือคำที่คนในวงการ Agency มักจะนำมาพูดกันอยู่เป็นประจำ การคลิกกันหรือความเข้าใจกันของ Agency และลูกค้า การคลิกกันหรือการทำงานร่วมกันได้ดีนั้นขึ้นอยู่กับความไว้วางใจและการสื่อสารที่โปร่งใส ทั้งในเรื่องของเป้าหมายธุรกิจ ความคาดหวัง การออกแบบ และการพัฒนา การรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน รวมถึงการปรับตัวในแต่ละขั้นตอน จะช่วยให้โครงการเป็นไปตามแผนและบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ

ถ้าคุณรู้สึกว่าเมื่อคุยกับ Agency แล้วไม่รู้สึกคลิกหรือมีความเข้าใจตรงกัน การหลีกเลี่ยงที่จะร่วมงานกันตั้งแต่แรกอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า การฝืนทำงานร่วมกันแม้จะมีปัญหาในการสื่อสารตั้งแต่เริ่มต้น อาจนำไปสู่ความขัดแย้งหรือปัญหาในการทำงานในภายหลังได้ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของงานและทำให้เสียเวลาและงบประมาณในที่สุด

ในมุมมองของ Agency เองก็ต้องมีความเข้าใจในตัวลูกค้าเช่นกัน เนื่องจากลูกค้าบางรายอาจไม่ได้มีความรู้เชิงเทคนิคมาก่อน การสื่อสารระหว่างกันอาจไม่ตรงตามที่คาดหวัง การที่ Agency เข้าใจและยืดหยุ่นในการอธิบายหรือให้คำแนะนำอย่างชัดเจน จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันได้ราบรื่นและลดปัญหาที่อาจเกิดจากการเข้าใจผิด

สรุป

การเลือก Agency ทำเว็บไซต์ให้ธุรกิจคุณเติบโต ควรพิจารณาจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของ Agency รวมถึงการสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น การมี Workflow ที่ชัดเจน ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ การออกแบบ UX/UI ไปจนถึงการพัฒนาและดูแลเว็บไซต์ ตลอดจนการกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินอย่างเหมาะสม จะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การเลือก Agency ที่เหมาะสมจะทำให้ธุรกิจของคุณสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย

หากคุณกำลังมีแพลนจะทำเว็บไซต์และการตลาดออนไลน์เน้นผลลัพธ์ Grappik Agency พร้อมให้คำปรึกษา หากต้องการดูผลงานที่ผ่านมาของเราก่อนการตัดสินใจสามารถดูได้ที่หน้า Case Studies หรือ ถ้าอ่านบทความนี้จบแล้วคิดว่าเราเหมาะจะดูแลโปรเจคเว็บไซต์ให้กับธุรกิจคุณสามารถ ปรึกษาเราได้ฟรี

ผลงาน รับทำเว็บไซต์ ของ Grappik Agency