google trends คือ

Google Trends คืออะไร ทำไมทุกธุรกิจออนไลน์ควรใช้งาน​ให้เป็น

Update

ในยุคที่ทุกธุรกิจและทุกผู้ใช้อยู่ในโลกออนไลน์กับเกือบ 100% การใช้ช่องค้นหาบน Google หรือบน Web Browser คือสิ่งแรกที่ถูกใช้เมื่อเราต้องการหาข้อมูล สินค้า หรือบริการต่าง ๆ ที่เราต้องการ และยิ่งในปัจจุบันที่มี Data จำนวนมหาศาลให้เราได้เข้าถึงข้อมูลว่าผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกำลังค้นหาอะไรอยู่ ยิ่งทำให้การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์นั้นได้เปรียบมากขึ้น

ที่กล่าวมานั่นคือสิ่งที่ Google Trends สามารถทำได้นั่นก็คือการที่นำ Data Keywords คำค้นหาหรือพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้มาสร้างเป็น Dashboard บน Google Trends เพื่อให้ผู้ใช้ได้เข้าถึงข้อมูลแนวโน้มและจำนวนการค้นหาของ Keywords ต่าง ๆ บน Google

Google Trends คืออะไร?

Google Trends คือ Website Service ของ Google ที่เอาไว้ใช้ใช้วิเคราะห์ความนิยมของคำค้นหายอดนิยมใน Google Search โดยผู้ใช้สามารถ Filter ภาษาและภูมิภาคต่างๆเพื่อให้ข้อมูลที่แสดงแม่นยำ โดยตัวของ Google Trends จะใช้กราฟเพื่อเปรียบเทียบปริมาณการค้นหาของคำค้นหาต่างๆ ตามช่วงเวลา

Google Trends คือ Website Service ของ Google

Google Trends สามารถช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจแนวโน้มความนิยมของคำค้นหาในช่วงเวลาต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการวางแผนธุรกิจ การตลาด และการสร้างเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้

ตัวอย่างภาพด้านบนเราใช้ Google Trends ช่วยเปรียบเทียบ Keywords คำว่า รับทำเว็บไซต์ และ ออกแบบเว็บไซต์ เพื่อจะได้รู้ว่าคำไหนมีแนวโน้มที่ผู้ใช้จะค้นหามากกว่ากัน จากกราฟย้อนหลัง 1 ปี คำว่า ออกแบบเว็บไซต์ จะมีแนวโน้มที่ผู้ใช้ค้นหามากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคำคำนี้จะกลายเป็น Keywords หลักที่ลูกค้าของเราค้นหา เพราะคำว่า ออกแบบเว็บไซต์ อาจจะเป็นได้ทั้งนักออกแบบ นักเรียน ที่สนใจในการออกแบบเว็บไซต์มาใช้ Keywords นี้ในการค้นหาข้อมูลเพื่อนำไปเป็นความรู้ได้เหมือนกัน

วิธีการใช้งาน Google Trends

สามารถเข้าไปใช้งานได้ที่เว็บไซต์ trends.google.co.th โดยเราสามารถตั้งค่าเลือกประเทศที่อยากดูเทรนด์หรือดู Keywords ได้ และถ้าอยากดูข้อมูลให้ลึกกว่าแค่ประเทศเราก็สามารถเลือกระยะเวลาที่ต้องดูข้อมูลได้ตั้งแต่หลักชั่วโมงไปจนถึงหลักปีเลยทีเดียว

วิธีการใช้งาน Google Trends เพื่อดูกระแสช่วงเวลาต่าง ๆ

Features ต่าง ๆ บน Google Trends

  • ช่องกรอก Keywords เทรนด์ที่ต้องการค้นหา สามารถเพิ่ม Keywords เพื่อเปรียบเทียบความนิยมได้
  • ส่วนของการปรับตำแหน่งประเทศ ระยะเวลา หมวดหมู่ รวมถึงฐานข้อมูลที่ต้องการดูเทรนด์
  • ส่วนของกราฟเปรียบเทียบความนิยมของเทรนด์ถ้าหากกรอก Keywords เพื่อเปรียบเทียบกันก็จะให้เห็นกราฟที่แสดงผลสำหรับการเปรียบเทียบ
  • ถัดลงมาเราก็จะได้เห็นการเปรียบเทียบตามประเทศหรือภูมิภาคที่เราเลือก
  • ลงมาด้านล่างสุดหากค้นหาแค่เทรนด์เดียว หรือ Keywords เดียว ก็จะเจอกับหัวข้อและคำค้นหาที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเราไปดูว่ามีเทรนด์หรือ Keywords อะไรบ้างที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

นอกจาก Features ที่เรานำภาพมาให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ยังมีอีกหลากหลาย Features ที่น่าสนใจสามารถลองไปเล่นได้ที่ trends.google.co.th

วิธีการดูเทรนด์ด้วย Google Trends

โดยคำว่าเทรนด์หรืออีกนัยนึงคือคำว่ากระแสบางครั้งอาจจะมาสั้นหรืออยู่ยาว เราเลยยกตัวอย่างเทรนด์มาให้ให้ลองเข้าใจกันว่าหากจะใช้ Google Trends ไปใช้ในการทำธุรกิจแล้วควรดูเทรนด์แบบไหนดี

1. เทรนด์ระยะสั้น

เทรนด์ระยะสั้นจะไม่เหมาะกับการทำธุรกิจในระยะยาวหรือธุรกิจ B2B เท่าไหร่ เพราะเทรนด์ระยะสั้นนั้นมาไวไปไวไม่สามารถนำมาต่อยอดได้นอกจากการทำ Realtime Content หรือปรับกลยุทธ์ในระยะหลักอาทิตย์หรือหลักเดือนชั่วคราวแทน การดูเทรนด์ระยะสั้นให้ลองดูตัวอย่างคำว่า Work Form Home ที่พอโลกกลับสู่ปกติไม่มีการระบาดของ COVID-19 การค้นหาหรือเทรนด์นั้นก็จะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ

2. เทรนด์ระยะยาว

เทรนด์ระยะยาวเราสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจได้เพราะมีการค้นหาหรือมีผู้คนสนใจตลอดเวลา จะมากจะน้อยก็ต้องดูที่พฤติกรรมของผู้บริโภคหรือช่วงเทศกาลฤดูกาลต่าง ๆ ตกตัวอย่างคำว่า ทุเรียน จะเห็นว่ากราฟจะมีขึ้นมีลงแต่จะไม่ลงสุดเพราะเป็นสิ่งที่มีตลอดและจะพีคในช่วงฤดูกาลที่ทุเรียนออกผล

วิธีการใช้ Google Trends กับธุรกิจบนโลกออนไลน์

การประยุกต์ใช้ Google Trends ไปกับธุรกิจบนโลกออนไลน์ ถ้าหากสามารถจับเทรนด์หรือกระแสได้อย่างแม่นยำและถูกจังหวะเราจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงให้กับธุรกิจได้และนี่คือ 3 วิธีการใช้ Google Trends กับธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่ควรนำไปใช้

1. ช่วยการทำ Content ให้ถูกหลัก SEO

เนื้อหาก่อนส่วนนี้จะพูดถึงเทรนด์ระยะยาวหรือเทรนด์ที่มีให้เห็นอยู่ตลอดเช่นคำว่าทุเรียนที่จะมีค้นหาตามฤดูกาล ถ้าเราหยิบ Keywords นี้มาทำ Content เพื่อรองรับ SEO โดย Focus การเขียนไปที่ Keywords นั้นตรง ๆ เลยตัว Content ของเราก็จะมีคนเข้ามาดูตลอดปีหรือช่วงที่ Keywords นั้นเป็นกระแส ตัวอย่าง ถ้าจะทำ Content เกี่ยวกับทุเรียนให้ถูกหลัก SEO ก็อาจจะตั้งชื่อ Content ว่า วิธีการดูทุเรียนว่าสุกหรือไม่สุก หรือ ทุเรียนในประเทศไทยมีกี่สายพันธุ์

2. ดูกระแสเพื่อทำ Realtime Content

ถ้าเราดู Google Trends เป็นประจำเราก็มักจะได้เห็น Keywords ที่เป็นเทรนด์ในวันนั้น ๆ เช่น ช่วงหน้าหนาวคำว่า ที่เที่ยวเชียงใหม่จะเป็นเทรนด์ขึ้นมา เราสามารถจับ Keywords ตรงนี้ไปทำ Realtime Content ได้ หรืออีกหนึ่งตัวอย่างเวลามีข่าวใหญ่เกี่ยวกับดาราศิลปิน Keywords ก็จะขึ้นมาในช่วงวันนั้น ๆ ก็หยิบประเด็นหรือกระแสสั้น ๆ มาทำ Realtime Content ได้เหมือนกัน

3. ช่วยจับกระแสแต่ผู้คนแต่ละภูมิภาค

กระแสที่ Google Trends นำมาแสดงนอกจากจะดูได้ระดับประเทศแล้ว ยังสามารถดูได้ระดับจังหวัดหรือภูมิภาคอีกด้วย เราสามารถนำข้อมูลตรงนี้มาจับกระแสเพื่อทำธุรกิจหรือทำ Content ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายได้เช่น ที่จังหวัดนครราชสีมาผู้คนอาจจะค้นหาคำว่า ร้านกาแฟเขาใหญ่ กันเยอะ เราสามารถนำเทรนด์การค้นหามาทำ Content หรือ ต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับร้านกาแฟได้ด้วย

นอกจากเราจะจับเทรนด์ต่าง ๆ มาทำ Content แบบ Realtime และ SEO ได้ ในส่วนของการใช้ Google Trends เป็นตัวช่วยเพื่อดัน SEO และวางแผนการทำ Content ในอนาคตมีวิธีการทำได้หลายวิธี โดยเทคนิคที่จะมาแชร์ให้มีทั้งหมด 3 วิธีด้วยกัน

1. ใช้เทคนิควิเคาระห์ Keywords

ตามเทศกาลและช่วงเวลาต่าง ๆ ในหนึ่งปีจะมีเทรนด์ Keywords ที่มักเกิดซ้ำๆ เราสามารถจับ Keywords เพื่อนำมาทำ Content เช่นคำว่า ที่เที่ยวเชียงใหม่ เปรียบเทียบกับ ที่เที่ยวภูเก็ต เราจะเห็นว่าคนค้นหาในช่วงเดือน เมษายน จะค้นหาที่เที่ยวภูเก็ตมากกว่า ถ้าใครทำ Content เชิงท่องเที่ยวในเดือน เมษายน ของทุกปีก็ควรใช้ Keywords นี้ เป็นคำตั้งต้นในการทำ Content เพื่อดัน SEO รวมถึงทำ Content ลง Social Media เพื่อกระตุ้นความสนใจของคนในช่องทางอื่น ๆ ได้อีกด้วย

    ตัวอย่างการใช้ Google เทรนด์ เปรียบเทียบ Keywords

    2. ใช้เทคนิคเลือก Keywords มาทำ Content

    สมมุติว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่ที่ภูเก็ต แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกคำไหนหรือประเด็นไหนมาทำ Content ให้ใช้ Google Trends ในการเปรียบเทียบ เช่น ร้านอาหารภูเก็ต เปรียบเทียบกับ ร้านกาแฟภูเก็ต เราจะเห็นว่าคนจะหาคำว่าร้านอาหารมากกว่าร้านกาแฟ

    ถ้าเปรียบเทียบให้ชัดลองมาเปลี่ยนเป็นคำว่า ร้านอาหารเชียงใหม่ เปรียบเทียบกับ ร้านกาแฟเชียงใหม่ เราก็จะเห็นว่ากราฟของ 2 คำนี้จะค่อนข้างใกล้เคียงกัน เพราะตัวจังหวัดเชียงใหม่จะเด่นทั้งเรื่องอาหารและกาแฟ แตกต่างจากภูเก็ตที่เรื่องอาหารจะเด่นกว่า

    อีกหนึ่งตัวอย่างที่ได้วิเคราะห์ให้กับลูกค้าที่ได้ทำเว็บไซต์และ SEO SEM กับเราอย่าง คลินิกผิวหนังกะทู้ ที่ตั้งอยู่ในอำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เราก็ได้ใช้ Google Trends วิเคราะห์ก่อนว่าควรใช้ Keywords อะไรในการทำโฆษณาทั้งการทำ SEO และ SEM เราจะเห็นว่าคำค้นหาส่วนมากจะเป็นภาษาอังกฤษที่ชาวต่างชาติจะค้นหากัน เราจึงใช้ Keywords หลังของเว็บไซต์ในการลงโฆษณาเป็นภาษาอังกฤษ

    3. ช่วยคิดไอเดียในการทำ Content หรือวางแพลน Content ได้ตลอดปี

    เมื่อไหร่ที่เราไม่รู้ว่าจะเขียน Content อะไรต่อดีหรือ Content ที่เราเคยเขียนแล้วเริ่มต้นลองใช้ Google Trends ในการคิด Content ใหม่ ๆ ได้ เพราะฟีเจอร์ Related Topics ที่มีมาให้ใช้ก็น่าสนใจไม่น้อย ตัวอย่างจาก ร้านอาหารเชียงใหม่ เปรียบเทียบกับ ร้านกาแฟเชียงใหม่ ถ้าเราเลื่อนลงมาดูด้านล่างต่อจากกราฟเปรียบเทียบ เราจะเห็นว่าช่วงนี้มี Keywords อะไรที่น่าสนใจหรือมีคนกำลังค้นหาคำว่าอะไรกันอยู่อีกบ้าง เพื่อให้เรานำไปทำ Content หรือ วางแพลน Content ที่จะเขียนต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ในยุคปัจจุบันมีการแข่งขันทางการตลาดสูงเป็นอย่างมาก จะทำอย่างไรให้ธุรกิจของเราเป็นที่น่าสนใจ สร้าง Content แบบไหนให้กลุ่มเป้าหมายชอบ Google Trends เลยกลายเป็นสุดยอดเครื่องมือในการใช้ดูเทรนด์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่าง ๆ เราสามารถนำมาใช้งานเพื่อหาเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรวมถึงทำ Content ให้ตรงจุดและตรงกลุ่มเป้าหมายได้อีกด้วย

    สรุป

    Google Trends เป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพอีกหนึ่งเครื่องมือ ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจบนโลกออนไลน์ได้มากมายทั้งในด้านการวางกลยุทธ์ของธุรกิจให้สอดคล้องกับเทรนด์ที่ได้รับความนิยม และการวางแผนสร้าง Content ที่ตอบโจทย์การทำ Digital Marketing แบบครบวงจร ไม่เพียงแค่การทำการตลาดผ่าน SEO เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการทำการตลาดบน Social Media ได้อีกด้วย โดย Google Trends สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสนใจ Keywords และพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้บนโลกออนไลน์ได้แบบ Realtime ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์และสร้าง Content ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น